วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คุณค่าบทกวีอหังการของดอกไม้(จิระนันท์ พิตรปรีชา)

 สตรีมีสองมือ
มั่นยึดถือในแก่นสาร
เกลียวเอ็นจักเป็นงาน
มิใช่ร่านหลงแพรพรรณ

สตรีมีสองตีน

ไว้ป่ายปีนความใฝ่ฝัน
ยืนหยัดอยู่ร่วมกัน
มิหมายมั่นกินแรงใคร

สตรีมีดวงตา

เพื่อเสาะหาชีวิตใหม่
มองโลกอย่างกว้างไกล
มิใช่คอยชม้อยชวน

สตรีมีดวงใจ

เป็นดวงไฟไม่ผันผวน
สร้างสมพลังมวล
ด้วยเธอล้วนก็คือคน

สตรีมีชีวิต

ล้างรอยผิดด้วยเหตุผล
คุณค่าเสรีชน
มิใช่ปรนกามารมณ์

ดอกไม้มีหนามแหลม

มิใช่แย้มคอยคนชม
บานไว้เพื่อสะสม
ความอุดมแห่งผืนดิน !

ประชาธิปไตย
4 พฤศจิกายน 2516

ดอกแพงพวย
ทำไมต้องเน้น...     "ประชาธิปไตย     ?
                      4 พฤศจิกายน 2516"
หลักของการอ่าน
1.วิเคราะห์ : ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ทำไม >> ทั้งหมดนี้มีหัวใจอยู่ที่ชื่อเรื่อง "ประชาธิปไตย" และสิ่งที่สำคัญคือ 4 พฤศจิกายน 2516 ทุกคนรู้ว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่เคยให้ความสำคัญกับเวลา... มันคือจุดอ่อนอย่างที่สุดเลยนะคะ "รู้แต่ไม่ใช้ จะรู้ไปทำไม?"
ถ้าได้อ่านประวัติศาสตร์ในปีนั้น ทุกอย่างจะกระจ่างค่ะ ว่าอันที่จริงแล้วคุณจิระนันท์เขียนอะไรลงไปในบทกวีบทนี้ :)
2.สังเคราะห์ : นำเนื้อหาในบทกวีมาเชื่อมโยงกับความจริงในประวัติศาสตร์

ความหมายของบทกวีบทนี้ หมายถึงอะไร ?
คุณจิระนันท์ พิตรปรีชา ได้สรุปยุคสมัยของเธออย่างกระชับและงดงาม
"ดอกไม้" ของเธอคือคนหนุ่มสาว คือพลังศรัทธา บริสุทธิ์ กล้าหาญ
เป็นจิตสำนึกที่ถูกปลุกขึ้นมาในยามสังคมมืดมนผู้คนหมักหมม

"สตรีมีดวงตา
เพื่อเสาะหาชีวิตใหม่
มองโลกอย่างกว้างไกล
มิใช่คอยชม้อยชวน"

 
นี่คือจิตสำนึกของสตรี แห่งยุค "เปลี่ยนมือที่อ่อนนิ่มเป็นลิ่มเหล็ก" 
คุณจิระนันท์ พิตรปรีชา มีกาพย์กลอนบทนี้เป็นมงกุฏกวีของเธอ
มงกุฎกวีของคุณจิระนันท์มิได้สวมด้วยมือใคร
ยุคสมัยเท่านั้นที่สร้างเธอมาพร้อมกับมงกุฎกวี
เพราะบทกวีคือผลึกของความรู้สึกนึกคิด 

ยุคสมัยของคุณจิระนันท์ได้เจียระไนเธอมาเช่นนี้
ช่วงวัยสิบกว่าขวบของคนเป็นช่วงพื้นฐานที่ซื้ออนาคตของเด็กได้
ช่วงวัยสิบกว่าขวบของคุณจิระนันท์ตกราว พ.ศ.2510
ตอนนั้นเด็กหญิงจิระนันท์ยังเป็นเด็กช่างอ่าน ช่างเขียน และช่างเรียนรู้อยู่เมืองตรัง

เด็กต่างจังหวัดคือเด็กภูธร ไม่ใช่นครบาล ได้เปรียบเด็กเมืองหลวงตรงความใฝ่ฝันและทะเยอทะยาน กอปรกับสิ่งแวดล้อม(บ้านของคุณจิระนันท์)เป็นร้านขายหนังสือและคุณแม่เป็นผู้รักในวิชาหนังสือและการศึกษา
สองสิ่งนี้คือพื้นฐานสำคัญที่สร้างความใฝ่ฝันและความใส่ใจในกาพย์กลอนของเด็กหญิงจิระนันท์มาเป็นจิระนันท์ พิตรปรีชาในปัจจุบัน
(หากเข้าใจทฤษฎีทางจิตวิทยา จะทราบว่าครอบครัวเป็นสถาบันแรกที่จะกำหนดพฤติกรรมของคนๆหนึ่งจริงๆค่ะ ลองอ่านได้ใน : www.oknation.net/blog/aj-pim)

ยุคสมัยของคุณจิระนันท์นั้น เป็นช่วงระหว่างยุค "เฟื่องการรัก" กับ "ชักธงรบ"
กาพย์กลอนในยุคเฟื่องการรักเล่นฉันทลักษณ์กันแม่นเปรี๊ยะ และด้านเนื้อหานักกลอนได้ผ่านการจับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองในเรื่องความรักอย่างลึกซึ้ง หวานหวิว เช่น
 "ดอกรักบานในใจใครทั้งโลก แต่ดอกโศกบานในหัวใจฉัน"
(ยุคเฟื่องการรัก คือ ยุคที่บทกวีเกี่ยวกับความรักรุ่งเรือง โดนใจคน คิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากโดยธรรมชาติมนุษย์ทุกคนมีความต้องการทางเพศ เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่ผลิตออกมาตามวัย แต่ค่านิยมคนไทยสมัยนั้นปิดกั้นในเรื่องหนุ่มสาว จึงมีนักเขียนเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้นที่กล้าส่งผ่านความรู้สึกเหล่านี้ผ่านงานเขียน คนส่วนใหญ่จึงชอบอ่านเพราะการอ่านสิ่งเหล่านี้จะช่วยปลดปล่อยความรู้สึกที่ต้องเก็บอยู่ภายในจิตใจ)

ถัดจากนี้เมื่อถึงยุค "ชักธงรบ"
หนุ่มสาวยุคนั้นมีส่วนผลักดันประวัติศาสตร์ให้เคลื่อนไปเท่ากับที่กระแสธารประวัติศาสตร์ก็ผลักดันให้หนุ่มสาวเติบโตเร็วด้วย
คุณจิระนันท์เป็นหนึ่งในผู้นำขบวนการนิสิตนักศึกษาและหนุ่มสาวรุ่นใหม่ยุค 14 ตุลาคม
เธอทำให้ภาพของนิสิตหญิงจำพวก "ดาวจุฬา-ธิดาโดม" เปลื่ยนจาก "ศรีจุฬาน่ารักเอย" และ "โสภาหนักหนาน่าโลม" มาเป็นภาพลักษณ์ใหม่ของคนหนุ่มสาวที่เคียงบ่าเคียงไหล่เข้าคัดต้านความอยุติธรรมในแผ่นดินอย่างทรนงองอาจ กลายเป็นวีระกรรมและตำนานที่ตรึงตราตรึงใจ
 ดอกแพงพวย

คุณจิระนันท์เริ่มเติบโตขึ้นภายใต้อิทธิพลนี้
เพราะฉะนั้น ความหมายของบทกวี"ประชาธิปไตย"บทนี้ อาจสื่อออกมาเพื่อทวงถามความยุติธรรมจากค่านิยมของสังคม และยกย่องชื่นชมความคิดความสามารถของผู้หญิงเก่ง โดยบรรยายความรู้สึกนึกคิดของเธอผ่านอารมณ์ เมื่อนึกถึงภาพดอกไม้ที่เธอคิดว่าสวยงามที่สุดและมีคุณค่าอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงดอกไม้ที่่ตั้งไว้เพื่อกำหนดราคาค่างวดให้ซื้อขายกันตามท้องตลาด แต่เป็นดอกไม้ที่ยืนหยัดอยู่บนผืนดิน รู้ร้อนรู้หนาว ทนแดดทนฝน โดยไม่จำเป็นต้องประดับไว้บนแจกันเกียรติยศของใครๆ 

คุณจิระนันท์ ได้รับรางวัลซีไรต์(S.E.A. Write) ในปี พ.ศ.2532 เนื่องจากงานเขียนของเธอเป็นผลงานที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางและมีหลากหลายรูปแบบที่เคยได้รับรางวัล ซึ่งล้วนแต่เป็นงานเขียนแนวสร้างสรรค์เพื่อจรรโลงสังคม

งานเขียนเหล่านี้สามารถจัดเป็นการบันทึกทางประวัติศาสตร์รูปแบบหนึ่งให้คนรุ่นหลังสามารถศึกษาค้นคว้าได้ เราเรียนประวัติศาสตร์ไม่ใช่เพียงการท่องจำ แต่เพื่อสัมผัสถึงความเป็นมาและความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ต่อทุกสิ่งรอบตัว หากเหตุการณ์หรือสิ่งใดๆที่บรรพบุรุษบันทึกไว้ว่าทำให้เจ็บปวด ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วหาแนวทางป้องกันอย่าให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย...

อ้างอิง

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การตีความ : ตีความพระอภัยมณี

เนื้อเรื่องและรายละเอียดอื่นๆอ่านได้ตามลิ้งค์นี้นะคะ >> thaigoodview

ไฟล์:Sunrise on Hat Saikaew, Koh Samet.jpg
 การตีความ หมายถึง อะไร?
"การอ่านตีความ หมายถึง การอ่านเพื่อให้เข้าใจความหมายหรือความคิดสำคัญของเรื่อง รวมไปถึงความรู้สึกและอารมณ์จากบทประพันธ์"
***การอ่านแปลความ ตีความ ขยายความ ต่างกันนะคะ

คุณค่าของงานเขียนไม่ได้ขึ้นอยู่กับความบันเทิงของเรื่อง แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะได้จากเนื้อเรื่อง เป็นเหตุผลที่คุณครูถามข้อคิดที่ได้จากเรื่องที่อ่านเสมอไงคะ ^^
เพราะฉะนั้น การตีความจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้การอ่านของเราประสบความสำเร็จ!
สำหรับผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวหนังสือมาให้เราอ่านกัน ไม่ใช่ว่าอยู่ๆก็เขียนซุ่มสี่ ซุ่มห้านะคะ ไม่งั้นใครๆก็คงเป็นนักเขียนได้สบายๆไปแล้ว 
แต่เขาเขียนจากประสบการณ์ ความรู้สึก หรืออารมณ์ค่ะ โดยพื้นฐานคนเราทุกคนมีความต้องการอยากได้ อยากมี อยากเป็นอยู่ลึกๆ แต่ส่วนใหญ่จะไม่เป็นไปตามที่หวัง จึงต้องพยายามลดอาการผิดหวังด้วยการระบายออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งค่ะ แต่ก็มีหลายคนที่แบ่งปันความสุขสมหวังผ่านการเขียนนะคะ :)

นิทานคำกลอนพระอภัยมณี
พระอภัยมณี
กวี :
สุนทรภู่
ประเภท :
นิทานคำกลอน
คำประพันธ์ :
กลอนสุภาพ
ความยาว :
94 เล่มสมุดไทย
สมัย :
ต้นรัตนโกสินทร์
ปีที่แต่ง :

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า กวีเอกสุนทรภู่ต้องการสื่ออะไรผ่านนิทานพระอภัยมณี?
พื้นฐานง่ายๆสำหรับการอ่าน
       1.รู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไม อย่างไร
       2.รู้เกี่ยวกับภูมิหลังของผู้เขียน เช่น ประวัติส่วนตัว การศึกษา
       3.รู้สถานการณ์ของสังคมในขณะนั้น
       4.นำข้อมูลทั้งหมดมาเชื่อมโยงกันให้ได้
ถ้า เราอ่านเนื้อเรื่องจนเข้าใจบวกกับพอรู้ว่าผู้เขียนผ่านอะไร เจออะไรมาบ้าง ก็จะสามารถรู้ได้ว่าเขากำลังสื่ออะไรผ่านเนื้อเรื่องค่ะ(คล้ายๆเวลาตามอ่าน สเตตัสคนอื่นนะคะ^^)

การ ตีความของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความสามารถ ประสบการณ์ และทัศนคติค่ะ ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด แต่ขึ้นอยู่กับว่า เราจะตีความได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้มากแค่ไหน

ลองมาวิเคราะห์กันทีละส่วนนะคะ
1.ใคร ?
 

2.ทำอะไร ?
เยอะมากๆ แต่ส่วนสำคัญอยู่ในวรรคทองต่างๆของเรื่องนั่นแหละค่ะ
และอย่าลืมจุดเด่นของเรื่องนะคะ "ปี่"ที่พระอภัยมณีเป่า
"แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์ จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง"
(พระอภัยมณีอธิบายความวิเศษของดนตรีให้ศรีสุวรรณและสามพราหมณ์ฟัง)
เพลงที่พระอภัยมณีเป่าสามารถทำให้คนหายโกรธได้ ทำให้คนหลงรักได้ และฆ่าคนก็ได้...
มีคนตั้งสมมุติฐานว่า ปี่ในเรื่องเป็นตัวแทนของ "ปัญญา" ค่ะ >> http://www.reurnthai.com/index.php?topic=2655.20;wap2

3.ที่ไหน? 
แผนที่แสดงฉากและบ้านเมืองต่าง ๆ ในพระอภัยมณีอยู่ทางทะเลอันดามัน ฉบับปรับปรุงใหม่ จากข้อเสนอของ "กาญจนาคพันธุ์" (ขุนวิจิตรมาตรา) เป็นท่านแรก ในพ.ศ. ๒๔๙๐

4.เมื่อไหร่ ?
พระอภัยมณี
กวี :
สุนทรภู่
ประเภท :
นิทานคำกลอน
คำประพันธ์ :
กลอนสุภาพ
ความยาว :
94 เล่มสมุดไทย
สมัย :
ต้นรัตนโกสินทร์
ปีที่แต่ง :
 จากข้างบนเลยค่ะ ^^

5.อย่างไร? ทำไม?
อันนี้ต้องไปวิเคราะห์กันในหนังสือเลยนะคะ

6.ภูมิหลังผู้เขียน
จากwikipedia  
        สุจิตต์ วงษ์เทศ ศิลปินแห่งชาติ "สุนทรภู่ เกิดวังหลัง ผู้ดีบางกอก มหากวีกระฎุมพี มีวิชารู้เท่าทันโลกและชีวิต"

7.สถานการณ์ขณะนั้น
หาใน google เลยค่ะ เช่น
เจ็ดขั้นตอนก่อนหน้านี้ เป็น การวิเคราะห์ นะคะ

 8.นำข้อมูลทุกอย่างมาเชื่อมโยงกันให้สมเหตุสมผล แค่นี้ก็ตีความได้แล้วค่ะ ^^ (การสังเคราะห์)
จากwikipedia
  • สุจิตต์ วงษ์เทศ ศิลปินแห่งชาติ ได้วิเคราะห์และตีความเรื่องพระอภัยมณีไว้ในหนังสือ สุนทรภู่ เกิดวังหลัง ผู้ดีบางกอก มหากวีกระฎุมพี มีวิชารู้เท่าทันโลกและชีวิต ว่า พระอภัยมณีเป็นวรรณคดีการเมืองที่ต่อต้านการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกในขณะ นั้น แต่สุนทรภู่ใช้กลวิธีแต่งเป็นนิทานกลอนปกปิดไว้อย่างแนบเนียน สามารถเห็นได้จากการที่ตัวละครเอกของเรื่องอย่างพระอภัยมณีที่ใช้ปี่ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งหมายความว่าให้แก้ปัญหาด้วยสติปัญญาและสันติภาพนั่นเอง
  • ทองแถม นาถจำนง นักคิด นักเขียน และคอลัมนิสต์สยามรัฐ ก็ได้วิเคราะห์เรื่องพระอภัยมณีไว้คล้ายคลึงกับสุจิตต์ คือพระอภัยมณีสะท้อนภาพยุคที่นักล่าอาณานิคมขยายอิทธิพลเข้ามาสู่สยาม นอกจากนี้ทองแถมยังระบุด้วยว่า สงครามระหว่างพระอภัยมณีกับนางละเวงสะท้อนวิสัยทัศน์ของปราชญ์สยามในยุคนั้น ที่เริ่มมองเห็นปัญหาจากการรุกรานของชาติตะวันตกชัดขึ้น และวิสัยทัศน์ที่สุนทรภู่เปลี่ยนเรื่องสงครามการรบเป็นสงครามรักนั้นน่า ประทับใจมาก
  • นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้วิเคราะห์วรรณคดีเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยกล่าวว่าการเป่าปี่ของพระอภัยมณี เป็นการคิดในเชิงปรัชญาพุทธ คือสุนทรภู่ให้พระอภัยมณีพอใจที่จะเรียนวิชาปี่ แทนที่จะให้ชำนาญอาวุธต่างๆ และยังให้พระอภัยมณีเป็นคนรูปงาม อ่อนแอ อ่อนโยน รักและมีความรู้เสียงดนตรี รู้จักใช้ดนตรีในการกล่อมใจคนและฆ่าคน ในลักษณะนี้พระอภัยมณีเป็นตัวละครที่สุนทรภู่สร้างขึ้นมาเพื่อให้รู้จัก วิสัยของมนุษย์ปุถุชนที่ยังหลงในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส และเอารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั้นมาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ในตอนท้ายพระอภัยมณีออกบวช ซึ่งสามารถตีความได้ว่า พระอภัยมณีเบื่อหน่ายในเรื่องโลกียสุข จึงละปัญญาในระดับโลกียะ ไปแสวงหาปัญญาในระดับโลกุตตระแทน

(อันนี้เป็นแบบสั้นๆนะคะ)

wikipedia เป็นเว็บไซต์ที่มีประโยชน์มากๆ เวลาเข้าไปหาข้อมูล ลองเลื่อนลงมาอ่านที่อ้างอิง จะมีเว็บไซต์อื่นๆที่เป็นประโยชน์อีกเยอะค่ะ :)