วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ประเภทของเพลง

เนื้อหาจาก : onewingedangel

แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆตามสไตล์ของผู้ฟังแต่ละคน ได้ 8 ประเภทหลักๆ ได้แก่

1. POP - แนวเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกร่าเริง สดใส มันจะรู้สึก ป๊อบๆ อยู่ข้างใน ซึ่งจะไม่ค่อยจำกัดเครื่องดนตรีที่ใช้สักเท่าไหร่
2.JAZZ - แนวนี้ก็จะร่าเริงเหมือนกัน แต่ไม่ได้ร่าเริงเหมือน POP , Jazz จะค่อนไปทางร่าเริงแบบหรูหรา เครื่องดนตรีที่ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องลม(แซ๊กโซโฟน เป็นต้น) อาจจะมีเครื่องดนตรีแบบอื่น มาเสริมก็ได้
        ข้อเปรียบเทียบระหว่างร่าเริงแบบ POP กับ JAZZ คือ Pop นั้นจะร่าเริงในอิมเมจกระโดดโลดเต้น รอยยิ้มสดใส แต่ Jazz จะมีอิมเมจเป็นร่าเริงแบบ สุขุมนุ่มลึก รอยยิ้มที่ยิ้มแบบเล็กๆมีความสุข

3.TECHNO - แนวนี้มักจะค่อนข้างได้ยินตามเทคทั้งหลาย Techno จะเป็นแนวเพลงที่ฟังแล้ว จะรู้สึกอยากลุกขึ้นไปเต้นไปดิ้น ด้วยจังหวะที่หนักแน่นของเสียงทุ้มดังๆ เครื่องดนตรีที่ใช้มักจะเป็น Sound Effect เสียส่วนใหญ่
4.HIP-HOP - Hip-Hop เองก็เน้นด้วยการทำให้คนรู้สึกอยากลุกขึ้นมาเต้นเหมือนกัน แต่จะไม่เท่า Techno เพราะ Hip-Hop ฟังแล้วเข้าถึงอารมณ์จริงๆ ก็จะแค่ขยับแขนขาตามจังหวะนิดหน่อยเท่านั้น Hip-Hop มักจะใช้ Sound Effect เป็นเครื่องดนตรี แต่สิ่งที่ Hip-Hop เน้นจริงๆคือ น้ำเสียงและการร้องของตัวนักร้องเองที่จะร้องเป็นจังหวะและใช้คำที่สัมผัสกันเป็นเนื้อ
        ข้อเปรียบเทียบระหว่าง TECHNO กับ HIP-HOP คือ Techno จะค่อนข้างหนักกว่า Hip-Hop และไม่เน้นคนร้องเท่า Hip-Hop

5.SOUL / R&B - Soul / R&B (Rythm & Blues) คือแนวเพลงที่เน้นที่เนื้อร้องแนว ความรักซึ้งๆกับการเล่นกับจังหวะที่พอดีกัน ดนตรีจะค่อนข้างไปทางสดใสหน่อย แต่ยังไม่สดใสเท่ากับ Pop ส่วนด้านเครื่องดนตรีก็จะไม่ค่อยจำกัดแนว แต่มักจะใช้ Sound Effect ประกอบนิดหน่อย
6.Ballad - เป็นอีกแนวที่เล่นที่น้ำเสียงของคนร้องกับเนื้อที่จะออกแนวรักซึ้งๆ ซึ่งค่อนข้างจะซึ้งกว่า Soul/R&B ดนตรีจะใช้จังหวะที่ช้ามาก ค่อยเป็นค่อยไป(อาจจะมีเร็วบ้าง แต่ไม่เร็วมาก ซึ่ง Ballad แบบเร็วนั้นจะค่อนข้างหายากนิดนึง) อิมเมจของ Ballad คือ เป็นเพลงที่ใช้แสดงความรู้สึกต่างๆที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด การให้กำลังใจ หลงรัก แค้น หลง โดยBallad ยุคแรกๆ นั้นเกิดจากหญิงสาวที่ไม่อาจบรรยายความรู้สึกกับชายหนุ่มที่ตัวเองรักได้ เครื่องดนตรีก็ไม่จำกัดแนวเช่นกัน และมี Sound Effect ประกอบบ้าง
        ข้อเปรียบเทียบระหว่าง Soul/R&B กับ Ballad คือ S/R&B จะเร็วกว่าและมีอิมเมจที่เน้นด้านความรัก ส่วน Ballad จะช้ากว่ามาก อิมเมจคือ ใช้แสดงความรู้สึกต่างๆที่ยากจะบรรยายออกมา

7.ROCK - แนวนี้เป็นแนวที่แพร่หลายออกไปค่อนข้างมาก และยังมีการแตกแขนงออกเป็น Sub Culture ต่างๆมากกว่าแนวเพลงอื่นๆ Rock จะเป็นแนวเพลงที่ฟังแล้วเร้าใจ ตื่นเต้น เท่ ร้อนแรง มีลักษณะที่เหมือนจะขยับไปขยับมาตลอดเวลา Rock ไม่จำเป็นจะต้องใช้จังหวะที่หนักหน่วงหรือเร็วๆ แต่แค่ฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้นหรือเร้าใจก็เพียงพอแล้ว
8.FUNK - เป็นแนวเพลงอีกแนวนึง ที่ฟังแล้วรู้สึกเร้าใจ ตื่นเต้น แต่จุดที่ต่างจาก Rock อย่างเห็นได้ชัดคือ Funk จะออกแนวตื่นเต้นเร้าใจแบบ นิ่งๆ สุขุม ถ้าเป็นอิมเมจ ก็คงเป็นคนไส่ชุดดำ เท่ๆ นิ่งๆ เครื่องดนตรีของเพลงแนวนี้ ก็จะเน้นเครื่องดนตรีแนวหนักๆทั้งหลาย เช่น กีต้าร์ไฟฟ้า เบสไฟฟ้า กลองชุดใหญ่ๆ
        ข้อเปรียบเทียบระหว่าง FUNK กับ ROCK ก็คงอยู่ที่อิมเมจ FUNK จะออกเท่ เร้าใจแบบนิ่งๆ ส่วน ROCK ก็จะเร้าใจแบบเคลื่อนไหวตลอดเวลา

ต่อมาก็เริ่มมีการแตกสาขาของแนวเพลงเป็น Sub Culture ต่างๆเพิ่มขึ้น
       Sub Culture (n.) - ความประพฤติ / ความเชื่อของคนบางกลุ่มในสังคม, กลุ่มวัฒนธรรมย่อย ซึ่งวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อใช้สนองตอบความต้องการทางร่างกายและจิตใจ เพราะจิตใจเรากำลังไขว่คว้าหาอะไรบางอย่างอยู่และมักจะแสดงตัวของมันเองผ่านทางตัวของเรา ดังเช่น การแต่งตัว , การกระทำ และการฟังเพลง เพราะฉะนั้น Sub Culture ก็คือ สิ่งที่คนกลุ่มๆหนึ่ง ใช้ผสมกับวัฒนธรรมหลักออกมาเป็นแนวของตัวเอง
       Sub Culture ที่ทุกคนน่าจะเห็นได้บ่อยๆ ได้แก่ Trance , Aggressive , Acid , Alternative , Stomp , Fusion , Hybrid , Warp , Big , House , Fantasy , Break , Modern, Yellow , Core , Lounge , Happy , School , Scream , Jungle , Dramatic , Beer , Euro , Symphonic , Bright , Progressive , แล้วก็พวก 80's 70's 60's ทั้งหลาย

Sub Culture 4 อย่างที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี คือ
       1. Gothic - Gothic หรือ Goth เป็น Sub Culture ที่แพร่หลายอย่างหนึ่ง อะไรที่เป็น Gothic สิ่งนั้นจะแสดงออกถึงความมืดมน เยือกเย็น หดหู่ เสมอ ซึ่งผู้ที่เป็น Gothic นั้น บางคนอาจจะเป็นออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางสังคม และนิสัยของตนเอง ทำให้ตัวเองนั้นสร้างเงาขึ้นมาในจิตใจ (ลองๆไปหาอ่านทฤษฏีเงาของ Carl Jung ดูนะ ^ ^ )
        ด้านการแต่งตัวของ Gothic นั้น ถ้าเอาแบบจริงๆนั้น ค่อนข้างจะย้อนยุคไปหน่อย ผู้ชายจะใช้ชุดจำพวกสูท ส่วนของผู้หญิงจะเน้นฟูฟ่องโทนสีเน้นที่สีดำ โดยใช้สีขาวเป็นตัวทำให้สีดำนั้นเด่นขึ้น แต่ไม่ถึงขนาดทำให้ดำสนิท เพราะ Gothic จะผสมความหม่นๆลงไปด้วย พวกเค้าจะพยายามทำให้สีผิวของตัวเองดู ซีดๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าโลกใบนี้มันหนาวสำหรับตัวพวกเค้า
        ด้านเพลง Gothic นั้นจะสร้างสรรค์เนื้อเพลงที่ใช้ภาษาค่อนข้างจะเป็นศิลปะและสละสลวย แต่มืดมน หดหู่ เพื่อเป็นการแสดงว่าจิตใจของพวกเค้านั้นเศร้าหมองขนาดไหน เนื้อเพลงจะไม่ประชดโลกเท่ากับ Emo เพราะ Gothic นั้นไม่ได้ประชดโลกแต่โลกต่างหากที่ประชดพวกเค้า...

        2. Punk - Punk นั้นจะเป็นกันมากในวัยรุ่น เนื่องจากวัยรุ่นนั้นยังเป็นวัยที่ทุกคนยังเป็นตัวของตัวเองกันอยู่ ยังไม่อยากโดนระบบสังคมทำให้ตัวของตัวเองหายไป พอวัยรุ่นยังเป็นตัวของตัวเองกันอยู่ แต่ระบบสังคมนั้นมันใหญ่กว่ามาก ทำให้วัยรุ่นเริ่มที่จะต่อต้านสังคม (ต่อต้านในที่นี้ไม่ได้หมายถึง การกระทำอะไรที่รุนแรง แต่หมายถึงการแสดงความเป็นตัวของตัวเองให้ออกมามากกว่าเดิมเท่านั้น เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวตนของพวกเค้าก็มีคุณค่าของมันอยู่) ถ้าจะให้สรุปว่า Punk คืออะไร Punk ก็คือการแสดงจุดยืนของตัวเอง ที่ต่างไปจากระบบสังคมนั่นเอง
        ด้านการแต่งตัว Punk จะไม่แต่งตัวให้เหมือนกับสังคม โดยการแต่งตัวของพวกเค้านั้น จะเน้นชุดหนังสีดำสนิท ห้อยโซ่ ระโยงระยาง ไส่เข็มขัดหลายๆเส้น กางเกงขาดๆ ทำผมแบบแข็งๆ เจ็บๆ
        ด้านเพลง Punk จะเขียนเนื้อเพลงที่กล่าวถึงสังคมรอบตัวหรือไม่ก็เนื้อเพลงที่แสดงความเป็นตัวเค้าออกมา อาจจะมีการเล่นภาษาบ้าง แต่ไม่ค่อยมากเท่าแนวอื่นๆ

        3.Death - อันนี้ก็น่าจะรู้จักกันมาก ถึงความดิบเถื่อน รุนแรง นั่นคือด้านที่คนภายนอกมองกัน ทำไม Death ถึงรุนแรง? ตรงตัวอยู่แล้วว่า Death = ความตาย เพราะ Death นั้นเกี่ยวกับความตาย พวกเค้ารู้ความหมายของ "ความตาย" แล้วถ่ายทอดออกมาในแนวของพวกเค้าเท่านั้นเอง
        ด้านการแต่งตัว Death จะค่อนข้างคล้ายกับ Punk มาก แต่สิ่งที่ถูกเติมเข้าไปนั่นคือ พวกหัวกระโหลก หรือหน้ากากอะไรที่ดูรุนแรง พวกเค้าใช้สิ่งเหล่านี้แสดงถึงความตาย
        ด้านเพลง Death ต้องเขียนถึงความตายแน่นอน ความตายในภาษาของพวกเค้า แต่คนส่วนใหญ่มักมองว่า Death นั้นรุนแรง เพราะคนส่วนมากไม่ต้องการรับรู้ถึงความตาย

        4.Emo - อันนี้ย่อมาจาก Emotional ซึ่ง Emo คือการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวเองออกมา อารมณ์ที่รุนแรง อ่อนไหว และอารมณ์ของพวกเค้าเอง คนที่เป็น Emo นั้นจะมีลักษณะอารมณ์ที่รุนแรง คือถ้าอารมณ์เศร้า พวกเค้าก็จะนั่งกอดเข่าเศร้าได้ทั้งวัน บางรายรุนแรงหน่อยก็อาจจะเอามีดกรีดข้อมือของตัวเอง (ย้ำว่าบางรายเท่านั้น เพราะบางคนเค้าเข้าถึง Emo จริงๆ และอารมณ์ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ) แต่ถ้าบทจะอารมณ์รุนแรงจริงๆ ก็ระวังหน่อย เพราะอารมณ์เป็นสิ่งที่ควบคุมพวกเค้า ไม่ใช่เหตุผล...
        ด้านการแต่งตัว มืดหม่น รุนแรง และอ่อนแอ พวกเค้าจะใส่ชุดสีดำรัดรูป กางเกงรัดรูปสีดำ รองเท้าสีดำ เพราะสีดำนั้น รุนแรง มืดหม่น แล้วที่ต้องรัดรูปเพราะ พวกเค้าต้องการให้เห็นว่าพวกเค้าผอมแห้งอ่อนแอแค่ไหน ทรงผมพวกเค้า ข้างหน้าจะยาวๆ และปัดเป๋(อันนี้อาจจะไม่เกี่ยวว่าเป็น Emo หรือไม่ แต่ที่ปัดเป๋ เพราะทำตามนักร้อง Emo ในตำนานคนหนึ่ง)
        ด้านเพลง Emo จะเขียนเนื้อเพลงที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าบางรายอารมณ์ศิลป์ๆหน่อย เนื้อเพลงก็อาจจะสวยงามมีศิลปะบ้าง ถ้าไม่มีอารมณ์ศิลป์ก็จะเขียนออกมาตรงๆเลย เพลงของพวกเค้าจะแบ่งออกเป็นรุนแรงและอ่อนไหวในเพลงเดียวกัน เพื่อแสดงถึงอารมณ์ของพวกเค้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

       ได้อ่านอย่างนี้แล้ว เวลาฟังเพลงก็ไม่ควรวิพากย์วิจารย์ว่าเพลงนั้นรุนแรง ป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม แปลกๆ ประหลาด ติ๊งต๊อง เพราะเพลงทุกเพลงก็มีควาสวยงามของมันอยู่ อยู่ที่เรามองหามันเจอหรือเปล่า อยู่ที่ว่าความสวยงามของเพลงนั้นตรงกับเรารึเปล่า

       Death โดนหาว่าป่าเถื่อนเพียงเพราะ มันหนัก รุนแรงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะฟังแล้วเข้าใจได้
       Punk โดนหาว่าป่าเถื่อนเพียงเพราะ พวกเค้ามีความคิดไม่ตรงกับคนทั่วไป
       Emo โดนหาว่าป่าเถื่อน เพียงเพราะอารมณ์ที่เค้าถ่ายทอดออกมามันรุนแรงไป
       Gothic โดนหาว่าประหลาด เพียงเพราะ พวกคุณใช้ชีวิตกับแสงสว่างและความสุข แต่ไม่เคยมองหาความมืด และความเศร้า...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น