วิเคราะห์ภาพยนตร์เรื่อง The Way Home คุณยายผมดีที่สุดในโลก
ภาพยนตร์แนวชีวิตเรื่องนี้ถ่ายทอดภูมิปัญญาชีวิตและธรรมชาติผ่านภาพความสัมพันธ์ระหว่างหลานชายวัย 7ขวบกับคุณยายวัย
77 ปี ที่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันในบ้านกลางป่าซึ่งห่างไกลจากความเจริญ โดยผู้แต่งได้เขียนบทด้วยการเพิ่มรายละเอียดต่างๆเข้าไปในเรื่อง
จนทำให้เรื่องราวของสองยายหลานสะท้อนความแตกต่างระหว่าง “วัฒนธรรมชนบท” กับ
“วัฒนธรรมเมือง”
ตัวละครหลัก
ซังวู หลานชายซึ่งมาจากเมืองใหญ่ พร้อมกับวีดีโอเกม น้ำอัดลมกระป๋อง และหุ่นยนต์รุ่นล่าสุด
ต้องมาอาศัยอยู่กับยายที่บ้านกลางป่า เนื่องจากแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดูในช่วงปิดเทอม
ยาย ผู้หลังค่อม เป็นใบ้ และเชื่องช้า มีชีวิตอยู่อย่างชาวบ้านธรรมดาที่ค่อนข้างแร้นแค้นและโดดเดี่ยวไร้ลูกหลานคอยดูแล
1.) ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยการโดยสารรถไฟไปหายาย
ซังวูถามแม่ว่า “ยายเป็นใบ้จริงหรือ
ถ้าเช่นนั้น อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนฟังเสียงบ่นเหมือนตอนที่อยู่กับแม่”
น้ำเสียงที่ใช้บ่งบอกว่าซังวูคิดเช่นนั้นจริงๆ
มากกว่าที่จะเป็นการเย้าแหย่ด้วยความรัก
ฉากสั้นๆนี้สามารถบอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองได้อย่างชัดเจน
ในสังคมสมัยใหม่ที่ผู้หญิงออกมาทำงานนอกบ้าน แล้วปล่อยให้ลูกอยู่บ้านตามลำพังโดยมีโทรทัศน์และของเล่นต่างๆเป็นเพื่อน
ทำให้เด็กที่เติบโตมาในสภาพเช่นนี้ มักจะเป็นคนก้าวร้าว
มีจิตใจหยาบกระด้าง เด็กเหล่านี้จะไม่รู้จักความอบอุ่นจากอ้อมกอดแม่เพราะคุ้นเคยแต่กับการคุยกันทางโทรศัพท์ ทำให้เขาไม่รู้จักการอ่อนน้อมเมื่อพูดกับผู้ใหญ่
หลังจากนั้นไม่มีการสื่อสารใดๆ
ระหว่างคนทั้งสองไปตลอดการเดินทาง ซังวูหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมกด
ส่วนแม่ของเขาก็เอาแต่นอน จนกระทั่งความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงพูดคุยทักทายกันของชาวบ้าน และเสียงร้องของเป็ดไก่ เมื่อทั้งสองเปลี่ยนมาโดยสารรถประจำทางที่วิ่งเข้าหมู่บ้าน ทั้งซังวูและแม่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจที่พื้นที่ส่วนตัวถูกรุกราน
วิทยาการสมัยใหม่ เช่น เกมกด, โทรศัพท์มือถือ, วิทยุ ส่งเสริมให้คนในเมืองมี “โลกส่วนตัว” ของตัวเอง
นานๆเข้าก็กลายเป็นการตัดขาดตัวเองจาก “โลกภายนอก” ไม่มีใครสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่อยู่รอบๆตัว
ในขณะที่หมู่บ้านซึ่งยายของซังวูอาศัยอยู่ ความทันสมัยเหล่านี้ยังเข้าไปไม่ถึง ผู้คนในหมู่บ้านยังคงมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
และเอื้ออาทรห่วงใยกัน คำว่า “เพื่อนบ้าน” ของสังคมชนบทจึงมีความหมายมากกว่าแค่คนที่ปลูกบ้านอยู่ติดกัน
2.) เรื่องราวของสองยายหลาน มีการสื่อสารระหว่าง หลานที่พูดได้กับคุณยายที่เป็นใบ้
การสื่อสารของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่บทพูด
แต่เป็นการสื่อสาร 2 ทาง โดยฝ่ายหนึ่งใช้คำพูดและอีกคนหนึ่งใช้สายตาและการกระทำ
3.) ฉากยายเอายาบำรุงที่แม่ของซังวูซื้อมาฝาก
ไปมอบให้เพื่อนบ้านที่กำลังป่วยอยู่ เพื่อนบ้านคนนั้นไม่กล้ารับเอาไว้เพราะเกรงใจ
แต่ยายก็ไม่ยอมรับคืน สุดท้ายเขาก็เอ่ยปากขอบคุณในน้ำใจที่ยายหยิบยื่นให้ และเสียใจที่ไม่มีอะไรจะมอบให้เป็นการตอบแทน
แล้วซังวูก็พูดขึ้นว่าที่บ้านของเขาค่อนข้างขาดแคลนเสื้อผ้าใหม่ๆและสุดท้ายเขาก็ได้เสื้อใหม่มาใส่
นับว่าเป็นมุขตลกที่เสียดสี “ความก้าวหน้าทางการศึกษา” ในขณะที่คนไร้การศึกษาอย่างยายช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ได้หวังอะไรตอบแทน
แต่การศึกษากลับสอนให้เด็กอย่างซังวูกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ คิดแต่เรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัว
และพร้อมจะเรียกร้องเอาจากคนอื่นทุกเมื่อที่มีโอกาส
4.)
ฉากซังวูกำลังนั่งกินข้าวอยู่ แล้วมีแมลงเดินผ่าน
ซังวูร้องตะโกนด้วยความกลัวและร้องเรียกหาสิ่งที่จะสามารถใช้ฆ่ามันได้ เมื่อยายจับแมลงตัวนั้นได้
ซังวูร้องบอกให้ฆ่ามัน แต่ยายลุกขึ้นเดินอย่างช้าๆไปที่หน้าต่างแล้วจึงปล่อยมันไป
ฉากนี้ให้ข้อคิดแฝงไว้
เนื่องจากแมลงตัวนั้นมันเดินของมันอยู่ดีๆ ไม่ได้ไปทำอันตรายใคร มนุษย์เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินว่าชีวิตของมันควรสิ้นสุดลง
เพียงแค่เราไม่ชอบรูปลักษณ์ของมัน แค่เราไล่มันให้ไปไกลๆก็เพียงพอแล้ว แต่เด็กจากสังคมเมืองอย่างซังวู
ไม่มีความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆในธรรมชาติ
การที่แมลงขุดคุ้ยลงไปในดินเพื่อหาอาหารช่วยให้ดินเกิดความร่วนซุย ซึ่งส่งผลให้การเพาะปลูกได้ผลผลิตที่งอกงามเพื่อรอการเก็บเกี่ยว
สุดท้ายก็เจริญมาเป็นอาหารดีๆให้ซังวูได้กิน
5.) ฉากคืนหนึ่งที่ซังวูได้เรียนรู้ว่า ไก่ต้มธรรมดาๆ ก็อร่อยได้ไม่แพ้ไก่เคเอฟซี ในขณะที่เขากำลังหิว
เป็นมุขตลกที่เสียดสีค่านิยมสมัยใหม่
สังคมแบบวัตถุนิยมทำให้ซังวูเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความหรูหรา ฟุ่มเฟือย พึ่งพาแต่สิ่งไร้สาระอย่างเกมกดและของเล่นสมัยใหม่ ทำให้เขามองข้ามปัจจัยพื้นฐานที่ชีวิตต้องการ
6.) การกระทำของยาย
6.1) เมื่อหาปิ่นปักผมไม่เจอ
เพราะซังวูขโมยไป ยายก็ใช้ช้อนทองเหลืองปักผมแทน โดยไม่ได้ฉุนเฉียวหรือติดใจอะไร
6.2) ฉากที่ยายพยายามไปหาไก่ให้ซังวูกินท่ามกลางลมพายุแต่ก็ไม่ถูกใจซังวูเพราะเขาต้องการกินไก่เคเอฟซี แม้ซังวูจะแสดงความไม่พอใจ
แต่ยายก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร
6.3) ฉากที่ยายหาเงินมาด้วยความยากลำบาก เพื่อมาจ่ายค่าอาหารและน้ำอัดลมให้ซังวูที่ร้านอาหารในเมือง ในขณะที่ยายแทบจะไม่กินอะไรเลย
6.4) ทุกครั้งที่ซังวูไม่พอใจยาย ยายได้แต่เอามือมาวนที่หน้าอก
ซึ่งซังวูไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
ทุกการกระทำของยายแสดงถึงการสื่อเอาความรักและความอบอุ่นมอบให้หลานชายอย่างเปี่ยมล้นหัวใจ
7.) ฉากเมื่อถ่านไฟฟ้าในเกมกดของซังวูหมด แต่ยายไม่มีเงินให้เขาซื้อถ่านก้อนใหม่ เขาจึงหาทางไปซื้อถ่านจนหลงทางกลับมา
เป็นฉากที่แสดงความเป็นเด็กและความไร้เดียงสาของซังวู
8.) ฉากเมื่อยายพาหลานเข้าย่านค้าขาย ยายขายของจากการเพาะปลูกเล็กๆน้อยๆ
เพื่อให้หลานคนนี้ใช้จ่ายตามความพอใจ ยายนำเงินที่ได้จากการขายพืชผักที่ยายปลูกเองไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่และพาซังวูไปกินบะหมี่
สังเกตได้ว่า เมื่อซังวูเห็นว่ายายของเขาหาเงินมาด้วยความยากลำบาก เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีความสุขอย่างแท้จริงเมื่อได้รองเท้าหรืออาหารอร่อยๆ แต่มันเป็นเพียงสิ่งที่นำมาปกปิดความอ่อนแอต่อโลกแปลกถิ่นของเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง
สังเกตได้ว่า เมื่อซังวูเห็นว่ายายของเขาหาเงินมาด้วยความยากลำบาก เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีความสุขอย่างแท้จริงเมื่อได้รองเท้าหรืออาหารอร่อยๆ แต่มันเป็นเพียงสิ่งที่นำมาปกปิดความอ่อนแอต่อโลกแปลกถิ่นของเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง
9.) ฉากยายหลานกำลังจะกลับบ้านหลังจากพากันเข้าเมือง ยายได้ส่งซังวูขึ้นรถกลับบ้านและซื้อขนมให้ซังวูกินระหว่างทาง แต่ตัวยายเองไม่ยอมขึ้นรถด้วย ซึ่งซังวูไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อซังวูถึงที่หมาย
จึงนั่งรอยายที่ป้ายรถหน้าบ้าน รอแล้วรอเล่า
จนรถเที่ยวสุดท้ายผ่านมา ซังวูรีบชะเง้อหายาย แต่ไม่เห็นใครบนรถ แต่กลับเห็นหญิงชราคนหนึ่งเดินมาตามทางอย่างอ่อนแรง
ทำให้ซังวูรู้ทันทีว่าที่ยายไม่กลับมากับเขา เพราะมีค่ารถไม่พอสำหรับคนสองคน
ฉากนี้ใช้จังหวะภาพที่ตัดจากรถเลี้ยวกลับพร้อมกับภาพยายที่กำลังเดินมา
และสายตาของซังวูที่มองยายอย่างนึกไม่ถึง ทำให้สะท้อนอารมณ์และความรู้สึกของสองยายหลานได้อย่างหนักหน่วง
10.) เมื่อยายล้มป่วยลง ซังวูคอยดูแลอย่างใกล้ชิด พยายามหาทางทำให้ยายของเขารู้สึกอุ่น
ไม่ว่าจะเป็นผ้าทุกชิ้นหรืออาหารร้อนๆ
เสมือนการขอโทษในสิ่งต่างๆที่เขาทำไว้กับยาย
11.) ฉากวันหนึ่งซังวูไปแกล้งเด็กชายเพื่อนบ้านให้วิ่งหนีวัว
เมื่อสำนึกผิดและไม่รู้จะทำอย่างไร จึงลองทำมืออย่างยายดูบ้าง คือใช้มือวนที่หน้าอก
ทำให้เขาได้เข้าใจว่า แท้จริงแล้วการเอามือวนที่หน้าอกนั้นหมายความว่าอย่างไร
ตัว
ละครในหนังนอกจากยายหลานแล้ว
ยังมีเพื่อนบ้านซึ่งเป็นตัวละครที่สื่อถึงความคิดความอ่านของซังวูที่
เปลี่ยนแปลงไป
จากที่เคยเป็นเด็กที่ขอโทษใครไม่เป็นและเอาแต่ใจตัวเอง
ได้ซึมซับเอาความโอบอ้อมอารี
ความมีน้ำใจ ความอดทนอดกลั้น และการเอาใจเขามาใส่ใจเราจากยาย
ทำให้ซังวูเปลี่ยนแปลงตัวเองกลายเป็นเด็กที่รู้จักคิดและมีความรู้สึกถึง
จิตใจคนอื่น
ซังวูเริ่มจากการพูดขอโทษแบบเขินอายกับเด็กชายที่เขาแกล้งให้วิ่งหนีวัว
ซึ่งเป็นช่วงที่เขาเริ่มยอมรับในตัวยายที่เขาเคยเรียกว่ายายใบ้ปัญญาอ่อน จนมาถึงช่วงท้ายเมื่อเขาทำมือวนที่หน้าอก
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตอนนี้ซังวูไม่เพียงแต่จะ "แพ้ความดี" ของยายเท่านั้น แต่เขายังยอมรับยายอย่างหมดหัวใจด้วยการยอมพูดกับยายด้วย
"ภาษาของยาย" อย่างไม่เขินอายใดๆอีกเลย
12.) เด็กชายเพื่อนบ้านวิ่งหนีวัวแม้ซังวูจะโกหก แต่เขาก็เผลอเชื่อโดยไม่ทันมองว่าวัวนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ และสุดท้ายซังวูเองก็ต้องวิ่งหนีวัวดังกล่าวเช่นกัน
ความมุทะลุพุ่งเข้าชนของวัวในเรื่องนี้สื่อได้ถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ไหลบ่าเข้ามา ไม่เพียงเด็กชายเพื่อนบ้านที่วิ่งหนีการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมและสิ่งต่างๆที่โถมซัดจากเมืองสู่ชนบท แต่ซังวูเองก็ต้องวิ่งหนีความเปลี่ยนแปลงนั้นเช่นเดียวกัน
ความมุทะลุพุ่งเข้าชนของวัวในเรื่องนี้สื่อได้ถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ไหลบ่าเข้ามา ไม่เพียงเด็กชายเพื่อนบ้านที่วิ่งหนีการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมและสิ่งต่างๆที่โถมซัดจากเมืองสู่ชนบท แต่ซังวูเองก็ต้องวิ่งหนีความเปลี่ยนแปลงนั้นเช่นเดียวกัน
The Way Home ชื่อของภาพยนตร์จึงไม่ได้หมายถึงเพียงเส้นทางกลับบ้านเกิด
แต่ย่อมหมายถึงเส้นทางกลับสู่พื้นฐานบ้านเกิดที่แท้จริงของมนุษย์ นั่นคือธรรมชาติ อาจอนุมานได้ว่ายายใบ้ผู้ไม่เคยพูดอะไร
เป็นตัวแทนของธรรมชาติผู้มีแต่ให้ โดยไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนใดๆ
13.) ฉากที่แสดงให้เห็นว่า อย่างไรก็ตามซังวูก็ยังไม่พอใจในตัวยายเพราะยังไม่ได้ในสิ่งที่เขาเรียกร้องมาโดยตลอด
นั่นคือถ่านเกมกดที่ไม่สามารถหาซื้อได้ในชนบทแห่งนี้ แต่ยายก็ได้ห่อบางสิ่งด้วยกระดาษไว้กับเกมกดของเขาซึ่งซังวูไม่ได้ใส่ใจ
เพราะเขามัวแต่สนใจสาวน้อยน่ารักที่เขาถูกใจ และซังวูกำลังจะนำของเล่นใส่รถลากเพื่อไปแลกกับตุ๊กตาของสาวน้อยคนนั้น
หลัง
จากแลกตุ๊กตาแล้ว
ระหว่างทางกลับบ้าน ซังวูเกิดอุบัติเหตุและล้มลง
เขาพยายามหาสิ่งที่จะนำมาเช็ดเลือด
จึงหยิบกระดาษที่ยายห่อบางสิ่งไว้กับเกมกดและซังวูก็ได้รู้ว่ายายไม่ได้
ละเลยต่อสิ่งที่เขาเรียกร้องเลย เขาไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้
จึงเดินกลับบ้านด้วยการร้องไห้โฮ
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ยายตามหาเขาพอดี ซังวูดีใจมากและเข้าใจยายทุกอย่าง ซังวูรู้แล้วว่ายายรักเขามากเพียงใด
ฉากนี้แสดงให้เห็นได้ชัดว่า
แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่มีบทพูดมากมาย
ไม่ต้องพรรณนาว่ายายรักหลาน หลานรักยาย
แต่ก็เป็นเหมือนละครใบ้ที่กระแทกอารมณ์ให้ซาบซึ้งถึงความรักระหว่างยายชรากับหลานชายจอมดื้อได้เป็นอย่างดี
14.)
เมื่อถึงวันที่แม่ของซังวูมารับกลับบ้าน
ก่อนขึ้นรถซังวูได้มอบการ์ดให้แก่ยายโดยไม่หันหลังกลับมามอง
แต่ก่อนรถจะลับตา
ซังวูไม่ลืมที่จะทำสัญลักษณ์มือวนรอบอกอย่างที่ยายเคยทำกับเขา
และมันเป็นสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับยายมากที่สุดในเวลานั้นว่า
“ผมขอโทษ” และภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เฉลยในตอนท้ายว่าซังวูวาดอะไรบนการ์ดให้ยาย
นับป็นการสรุปที่ยอดเยี่ยม
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสุดท้ายทุกชีวิตก็ต้องดำเนินไปตามวิถีของตนเอง ซังวูกลับไปสู่เมืองใหญ่และเฝ้ารอว่าสักวันจะได้พบยายอีก ส่วนยายของเขาก็เดินกลับบ้านไปตามทางที่คุ้นเคยเพื่อกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิม
น้ำหยดลงหินทุกวัน หินสามารถกร่อนได้ฉันใด จิตใจของเด็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ฉันนั้น
เด็กน้อยเหมือนผ้าขาวที่เราแต่งแต้มสีอะไรลงไปเด็กก็จะเป็นตามนั้น
คุณยายถึงจะเป็นใบ้แต่ก็ได้สื่อเอาความรัก ความอบอุ่นเอาไว้ในใจหลานได้อย่างเปี่ยมล้น
และที่สำคัญซังวูก็รักยายมากขึ้นทุกวันจนแทบล้นหัวใจเช่นกัน
ตลอดทั้งเรื่องจะเห็นว่า ท่วงทำนองในการใช้ชีวิตของยายหลานค่อนข้างต่างกันมาก ซังวูเป็นเด็กตามแบบฉบับของคนเมืองที่ชีวิตต้องเร่งรีบตลอดเวลาเพื่อให้ตามคนอื่นทัน
ส่วนคุณยายเป็นคนที่มีชีวิตแบบพออยู่พอกิน ไม่มุ่งเน้นว่าจะต้องร่ำรวยอะไร
ถ้าคนสมัยใหม่ใช้ชีวิตแบบ “มองไปข้างหน้า”
ยายก็เป็นพวกใช้ชีวิตแบบ “มองมาด้านข้าง”
ในตอนจบของเรื่องยายสามารถเปลี่ยนซังวูให้กลายเป็นคนที่รู้จักหันมามองคนรอบข้างได้
และประเด็นสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการโน้มน้าวให้คนยุคใหม่หันมามองด้านข้าง
เพื่อทำลายกำแพงความแตกต่างของสังคมและเพื่อลดช่องว่างของความผูกพันที่จะถูกเติมเต็มโดยครอบครัว
อ้างอิง
Sbuyhosting.
The Way Home คุณยายผมดีที่สุดในโลก 1DVD Master พากษ์ไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://dvdzaza.com/catalog.php?idp=3430. (วันที่ค้นข้อมูล : 21 มกราคม 2555).
MUU-TAH. The Way Home:: คุณยายผม...ดีที่สุดในโลก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
: http://www.diaryclub.com/blog/zhonglarn/20100829/The-Way-Home-คุณยายผม-ดีที่สุดใน-ลก-ชีวิตประจำวัน.php. (วันที่ค้นข้อมูล
: 21 มกราคม 2555).
เรียวจันทร์.
คุณยายผม...ดีที่สุดในโลก!. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
: http://noknoi.com/magazine/article.php?t=262. (วันที่ค้นข้อมูล
: 21 มกราคม 2555).
yuttipung.
The Way Home : ทางกลับบ้านที่หลายคนหลงลืม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=yuttipung&month=02-07-2005&group=1&gblog=25.
(วันที่ค้นข้อมูล : 21 มกราคม 2555).
land_scape_man. การวิจารณ์ภาพยนตร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก
: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=filmlover&month=09-12-2007&group=7&gblog=13
(วันที่ค้นข้อมูล : 21 มกราคม 2555).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น