นิทาน Who Moved My Cheese? (ใครเอาเนยแข็งของฉันไป)
นิทาน Who Moved My Cheese? (ใครเอาเนยแข็งของฉันไป)
แต่งโดย สเปนเซอร์ จอห์นสัน
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเขาวงกต
ซึ่งเป็นที่อยู่ของหนูสองตัวและคนตัวเล็กสองคนที่ต่างใช้เวลาค้นหาเนยแข็งของตนเอง
ตัวละครในเรื่องประกอบด้วย
1. Sniff คือ
หนูที่มักจะหาเนยแข็งโดยการดมกลิ่นไปเรื่อยๆ
ซึ่งมันจะทราบการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
2. Scurry คือ หนูที่มีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
หนูนอกจากจะมีความสามารถในการดมกลิ่นสูงแล้ว ยังมีความสามารถในการเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
อย่างไรก็ตามการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วนั้นทำให้หนูหลงทางหรือชนกำแพงบ่อยครั้ง
3. Hem คือ คนตัวเล็กที่มีนิสัยชอบยึดติดอยู่กับความเชื่อเก่าๆ
และไม่ยอมเปลี่ยนแปลงทัศนคติตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
4. Haw
คือ คนตัวเล็กที่มีนิสัยชอบลังเล
ไม่ค่อยกล้าตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทัศนคติในตอนแรก
แต่สุดท้ายก็เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี
ยิ่งเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าไร
ก็จะสามารถค้นพบสิ่งใหม่ๆที่ดีกว่าได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น
และสามารถมีความสุขได้ในขณะเดินทางไปพร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลงแม้ยังไม่พบเนย
แข็งของตน
ในเนื้อเรื่อง เนยแข็งสำหรับหนูสองตัวหมายถึง เนยแข็งที่เป็นอาหาร
เมื่ออาหารของมันหมด มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปหาอาหารในที่แห่งใหม่
พวกมันใช้วิธีการลองผิดลองถูกในการค้นหาเนยแข็ง ซึ่งต่างจากเนยแข็งสำหรับคนตัวเล็กสองคน
ไม่เพียงหมายถึงเนยแข็งที่เป็นอาหาร แต่ยังสื่อถึงสิ่งที่ตอบสนองความต้องการอื่นๆอีกมากมาย
เช่น ความมั่นคงในชีวิต เงิน บ้านหลังใหญ่ อิสรภาพ สุขภาพที่ดี เป็นต้น
ทั้งสองคนมีความเชื่อมากมายและใช้วิธีการวิเคราะห์อย่างซับซ้อนในการค้นหาเนยแข็ง
คำว่า “เนยแข็ง” ในเรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนสิ่งที่สิ่งมีชีวิตอยากได้
อยากมี อยากเป็น และต่างแสวงหามันเพราะเชื่อว่ามันจะทำให้เรามีความสุข เมื่อเราได้มันมาเราก็มักจะยึดติดกับมัน
เมื่อเราสูญเสียมันไปก็มักจะเจ็บปวดและเสียใจ สิ่งเหล่านี้ต้องเกี่ยวข้องกับ“การเปลี่ยนแปลง”
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้นตลอดเวลาและอาจนำไปสู่สิ่งที่เราต้องการหรือไม่ต้องการก็ได้
คำว่า “เขาวงกต” ในเรื่องนี้เปรียบเสมือนสถานที่หรืออาณาบริเวณที่เราใช้ชีวิตอยู่ อาจเป็นที่อยู่อาศัย
องค์กรที่เราทำงานอยู่ รวมไปถึงความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอีกด้วย
มนุษย์แยกประเภทของตนเองออกจากสัตว์ชนิดอื่น เนื่องจากมีโครงสร้างของสมองแตกต่างกัน
มนุษย์มีสมองที่ซับซ้อน มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เข้าใจ
และจดจำสิ่งต่างๆที่ตนประสบ แล้วอุปมาสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นความดีความชั่ว
สีขาวสีดำ ความรวยความจนด้วยเหตุผลตามทัศนคติของตน และอุปมาการได้ครอบครองสิ่งที่ตนต้องการว่า
“ความสุข” แต่สัตว์ชนิดอื่นมีสมองที่ไม่ซับซ้อน จึงเรียนรู้ได้น้อยกว่ามนุษย์
ส่วนใหญ่มีความสามารถเพียงการลองผิดลองถูก
การมีโครงสร้างของสมองที่แตกต่างกันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ความต้องการของมนุษย์มีมากกว่าสัตว์ชนิดอื่นหลายเท่า
มนุษย์ต้องการสิ่งตอบสนองความต้องการมากมายอย่างนับไม่ถ้วน ในขณะที่สัตว์ เช่น หนู
มีความต้องการเพียงสิ่งที่ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานที่ทำให้พวกมันสามารถดำเนินชีวิตอยู่รอดและสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ได้
ได้แก่ อาหาร ที่อยู่ และการสืบพันธุ์
เนื่อง
จากช่วงชีวิตหนึ่งของทุกสิ่งมีชีวิตต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งจะนำไปสู่สิ่งที่เราต้องการหรือไม่ต้องการโดยที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้
และทุกสิ่งมีชีวิตล้วนมี“สัญชาตญาณความกลัว” จึงทำให้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดๆย่อม“กลัวการเปลี่ยนแปลง” แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่รู้ตัวหรือไม่ยอมรับว่าตนเองกลัวการเปลี่ยนแปลง
และความกลัวการเปลี่ยนแปลงนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ยึดติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆ
อย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณความกลัวไม่เพียงแต่ส่งผลในทางลบ
เพราะ “หากเราไม่กลัว
เราก็ไม่คิดที่จะทำอะไรเลย” นั่นคือ
ถ้าเราไม่กลัวอดอยาก เราก็จะไม่ทำมาหากิน, ถ้าเราไม่กลัวเจ็บปวด เราก็จะไม่หลีกหนีอันตราย ดังนั้น “ความกลัวจึงเป็นสัญชาตญาณแห่งความอยู่รอด” ของสิ่งมีชีวิตทั้งมนุษย์และสัตว์
ความกลัวคือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของมนุษย์โดยไม่รู้ตัว
วัยเด็กมนุษย์อาจรู้จักความกลัวเพียงกลัวหิว กลัวเจ็บ กลัวร้อน กลัวหนาว
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปมนุษย์ได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงมากมายตามระยะเวลาที่ดำเนินชีวิตอยู่
ตามบทบาทหน้าที่ และเหตุการณ์ต่างๆที่ได้พบเจอ ทำให้มนุษย์รู้จักความกลัวมากขึ้น
เช่น กลัวความพ่ายแพ้ กลัวความจน กลัวความล้มเหลว เป็นต้น มนุษย์จึงเกิดความต้องการสิ่งที่จะมาลดความกลัวเหล่านั้น
เพื่อทำให้ตนเองมีความสุข นั่นก็คือ “เนยแข็ง” ในนิทานนั่นเอง มนุษย์อุปมาการได้มาซึ่งเนยแข็งของตนว่า
“การประสบความสำเร็จ”
ยิ่งมนุษย์ได้เนยแข็งมามากเท่าไร
ก็ยิ่งต้องการมันมากขึ้นเท่านั้น
และเนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์มีดวงตาไว้มองภายนอก ไม่ได้มีไว้มองภายใน มนุษย์จึงพบแต่เนยแข็งที่อยู่รอบตัว
และเอาแต่พยายามมองหาคุณค่าของตนเองจากสายตาของผู้อื่น
จนหลงลืมไปว่ายังมีเนยแข็งที่ไม่ต้องซื้อหามาจากไหนและสัมผัสได้ใกล้ชิดที่สุดอยู่ภายในจิตใจของเราเอง
เพียงแค่เราคิดว่าเราสุข เราก็จะสุข นั่นคือ การประสบความสำเร็จที่แท้จริงคือการประสบความสำเร็จทางจิตใจ
ดังนั้น “จุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้เขียนคือต้องการสื่อถึงการจัดการกับความกลัวของมนุษย์”
การประสบความสำเร็จที่แท้จริง
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของสมอง แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการคิด
หากมนุษย์ยังไม่สามารถเอาชนะความกลัวได้และพยายามแสวงหาเนยแข็งตลอดเวลา
มนุษย์จะทุกข์มากกว่าหนูเสียอีก
ผู้เขียนจึงสื่อถึง “ความจริงของชีวิตและวิธีการจัดการกับความกลัวของมนุษย์” ผ่านทางลักษณะนิสัยของตัวละคร 4 ตัว และสิ่งที่
Haw ได้จารึกไว้บนกำแพง โดยตีความได้ดังนี้
“ไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่จะสามารถหนีการเปลี่ยนแปลงได้
ทุกขณะที่โลกกำลังหมุนและชีวิตยังดำเนินต่อไปนั้นเวลาก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
การเปลี่ยนแปลงทำให้มนุษย์กลัวและความกลัวจะทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เป็นวัฏจักรเช่นนี้เรื่อยไป
ไม่มีอะไรยั่งยืนเว้นแต่การตายจาก”
การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์คือต้องละทิ้งความกลัวของตนให้ได้
ซึ่งต้องจัดการด้วยตนเองเท่านั้น
ไม่มีใครสามารถนำความกลัวออกไปจากจิตใจของใครได้
เมื่อไรที่ความกลัวก่อให้เกิดความทุกข์จะต้องตั้งสติให้ได้เร็วที่สุดแล้ว
พิจารณาตนเองก่อน
เพื่อหาสาเหตุและต้องรู้จะปล่อยวาง เอาชนะความกลัวด้วยความเชื่อใหม่ๆ
เมื่อเปลี่ยนแปลงความคิดก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้
ที่สำคัญต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆอยู่เสมอ
อย่าประมาทกับความสุข
เพราะเมื่อคนเรามีความสุขก็มักจะลืมไปเสียสนิทว่าความทุกข์นั้นเป็นเช่นไร
มนุษย์ผู้ที่จะถูกจัดเป็นสัตว์ประเสริฐและเรียกหนูว่าเป็นสัตว์เดียรัจฉานได้อย่างแท้จริงนั้น
จะต้องรู้จักใช้สมองเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต และใช้เป็นบทเรียนในการวางแผนอนาคต
เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ทันคาดคิด
เพราะหนูไม่มีสมองที่มีโครงสร้างซับซ้อน หากมันไม่มีจมูกที่ไวต่อกลิ่นและขาที่ว่องไวนั้น
มันคงไม่มีโอกาสรอดพ้นความตายจากการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น